เรื่องเล่าจากใจราษฎร์ เรื่องโดย ชมัยภร แสงกระจ่าง
ถวายจงรักด้วยอักษรา
๑. ในหลวงของยาย น้า แม่และฉัน
เมื่อยังเด็กอ่อนเยาว์ราวห้าปี ยายบอกว่า
“มานี่...จงกราบเสีย”
ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งแดดเลีย
“ปฏิทินแผ่นเนี้ยได้มานาน นี่ในหลวงอยู่ไกลชื่อในหลวง”
นัยน์ตายายโชติช่วงเสียงฉาดฉาน
“เป็นพระเจ้าอยู่หัวฯ คุ้มกบาล จงกราบเสียนานนานนะหลานรัก”
ตั้งแต่วันนั้นมาฉันจำได้ เจอรูปนี้ที่ไหนแจ้งประจักษ์ พนมมือกราบไหว้เหมือนทายทักยายพยักหน้าหงึกหงักด้วยพอใจ
พอเจ็ดขวบอยู่กับน้าซึ่งเป็นครู เรียนอยู่ชั้นประถมสองเห็นจะได้ มีข่าวว่าในหลวงของปวงไทย จะเสด็จผ่านไปสู่ในเมือง โรงเรียนฉันทางกันดารอยู่บ้านนอก ครูตื่นเต้นเล่าบอกกันต่อเนื่อง เตรียมประดับประดามลังเมลือง เตรียมทุกเรื่องเตรียมกันเป็นนานเดือน
เป็นหลานน้าจึงได้ใส่รองเท้า มันกัดก็ทนเอา-ไม่มีใครเหมือน ยืนแถวหน้าเด่นกว่าใครไม่แชเชือน แดดส่องหน้า อยู่หน้าเพื่อน-ไม่ร้อนเลย เสด็จมาอยู่โน่นไงไกลลิบลิบ เห็นพระองค์ตาไม่กระพริบ-เจ้าข้าเอ๋ย พอหลับตาเหมือนลมร่ำมารำเพย ชูธงชาติพระองค์เอยก็ผ่านวับ
พอสิบเก้าเรียนจุฬาฯมหาวิทยาลัย ซาบซึ้งสุดหัวใจได้สดับ เสด็จทรงดนตรี มาประทับ-หอประชุมราวกับดอกไม้บาน ราชินีธิดาและโอรส รายล้อมพร้อมหมดสำเริงสนาน
ทรงตรัสเย้าตรัสล้อทรงสำราญ หัวใจเราปูนปานจะลอยฟ้า
ยี่สิบสองเข้าเฝ้าด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม วันเตรียมพร้อมก้าวไกลไปข้างหน้า
ถอนสายบัวรับพระราชทานปริญญา ซึมน้ำตาซึ้งในหัวใจตน
ฉันผ่านวันเวลามานานแล้ว แต่ดวงแก้วยังสัมฤทธิ์ประสิทธิผล ยังสว่างกระจ่างใสในกมลยังรวมชนยังรวมไทยรวมใจรัก
วันเฉลิมพระชนมพรรษา ห้าธันวาชนทั้งชาติแจ้งประจักษ์ ชนทั้งชาติคอยจ้องมองพระพักตร์ ด้วยจงรักถวายรักเพราะภักดิ์ล้น
ฉันโทรศัพท์คุยกับแม่ซึ่งแก่เฒ่า
“แม่จ๋า ดูทีวีหรือเปล่า...อย่ามัวบ่น ฟังในหลวงหรือเปล่า-หรือหลับกรน”
แม่เสียงใสตอบคนปลายสายฟัง
“แม่ไม่หลับไม่บ่นใครทั้งนั้น รอทั้งวันดูในหลวงด้วยความหวัง เห็นพระพักตร์แจ่มใสดีใจจัง แม่นั่งฟังตามองใจพองฟู วันนี้ไม่ปวดเมื่อยไม่เหนื่อยล้า แปดสิบกว่าก็ยังนั่งดูอยู่ ดีใจนะ ดีใจที่ได้ดู ได้รับรู้ว่าพระองค์สบายดี”
ปกติแม่ฉันนั่นแสนเข็ญ กลางคืนเป็นโรคโน่นและโรคนี่ ต้องบีบนวดกินยาสารพันมีแต่วันนี้หายโรคหายโศกภัย ด้วยอำนาจจงรักและภักดี อำนาจที่ไม่มีใครสั่งได้ อำนาจที่ปลูกปักจากภายใน อำนาจที่หัวใจสั่งให้มี
ฉันมองไปรายรอบขอบเขตขัณฑ์
เห็นอำนาจของราชันปิ่นเกศี
ครอบคลุมไปทั่วพื้นปฐพี
เป็นสีเหลืองปิ่นมณีของชาวไทย
สว่างไสวไปทั่วอาณาจักร
อิ่มไปด้วยอำนาจรักอันสุกใส
ในโลกนี้ไม่มีกษัตริย์ใด
จะอิ่มอำนาจใจเท่าพระองค์
๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ (วันเฉลิมพระชนมพรรษา เฉลิมพระเกียรติครองราชย์ครบหกสิบปี)
๒. ในหลวงของฉัน
เมื่อฉันโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพในหลวงในดวงใจยังสูงส่ง ได้เห็นภาพทรงงานผ่านป่าดง ยังแปลกใจว่าทรงได้อย่างไร เป็นถึงเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เป็นขัตติยะผู้เป็นใหญ่ น่าประทับอยู่พิมานอันพิไล มาเดินดินทำไมให้ทุกข์ตรม
เมื่อยิ่งเห็นจึงยิ่งเชื่อเมื่อได้เห็น ธ ทรงเป็นราชันพิเศษสม ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจในปรารมภ์ ทุกคำสอนคือคำคมอันจับใจ
ยิ่งศึกษายิ่งเข้าใจยิ่งได้รู้
พระองค์คือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่
สู้กับความปวดร้าวของชาวไทย
สู้กับความยากไร้ของแผ่นดิน
ทรงพระราชวินิจฉัยไปถึงเหตุ ไม่จำกัดขอบเขตไปทุกถิ่น ทั้งคนเมืองคนใดในปฐพิน อาณาจักรนี้ยลและยินด้วยองค์เอง เหมือนกับว่าเวลาในหนึ่งวัน ทุกนาทีพระองค์นั้นล้วนรีบเร่ง รวมสี่พันโครงการอันน่าเกรง แต่พระองค์กลับบรรเลงเป็นเพลงรัก
รักในดินเหลือล้ำเกินกำหนด สู้จารจดจารึกนึกให้หนัก พระองค์ดำริให้ถูกใจนัก ทรง “แกล้งดิน”ด้วยตระหนักว่ารักดิน บางน้ำเปรี้ยวหินซ้อนและห้วยทราย เขาชะงุ้มและอีกหลายหลายท้องถิ่น เคย “แร้นแค้น”กลับอิ่มเอมเปรมชีวิน จะทำกินก็อิ่มสุขทั่วทุกทิศ
รักในน้ำปรับน้ำให้เป็นน้ำ เอาน้ำดีไล่นำน้ำเสียสนิท พระดำรัสว่า “น้ำคือชีวิต” น้ำสถิต ณ สถานอันมีคน ทรงเก็บน้ำเป็น “แก้มลิง” ให้ยิ่งรู้ ทรงต่อสู้กับความแล้งเป็นฟ้าฝน ทั้งบำบัดทั้งเบ็ดเสร็จสำเร็จดล กลายเป็นผลการพัฒนาฟ้าให้น้ำ ทั้งป่าสักชลสิทธิ์และท่าด่าน ห้วยองคตเมืองกาญจน์ล้วนชุ่มฉ่ำ อีกแม่ปิงแม่อาวไม่ร้าวระกำ เหล่านี้นำร่องให้ได้รู้ทาง
รักในป่าต้นไม้ไพรพงพฤกษ์ ยิ่งรำลึกยิ่งตระหนักรักทรงสร้าง ทรงรอบรู้แน่ชัดทรงจัดวาง แจ่มกระจ่างเรื่องต้นไม้ให้เฝ้าดู ห้าม “รังแก”หรือ “ตอแย” กับต้นไม้ ปล่อยทิ้งไว้ “ชั่งหัวมัน” มันก็อยู่ ปลูก “หญ้าแฝก” ป้องกันดินทั้งสิ้นรู้ ธ คือครูผู้ปฏิบัติอย่างชัดใจ
ยิ่งศึกษายิ่งซาบซึ้งตรึงในจิต ทรงใกล้ชิดกับคนยากมากแค่ไหน เกษตรกรชาวนาพระทรงชัย เสด็จไปสนทนาพร้อมพาที
จึงได้รู้แก่ใจว่าพระองค์ พระราชหฤทัยมั่นคงอยู่ที่นี่ ที่ที่ผืนแผ่นฟ้าและธาตรี มีพสกมากมีของพระองค์ ทรงให้สัมภาษณ์ต่างชาติว่า ประชาชนมากค่าและสูงส่ง ประเทศไทยคือปิรามิดที่คว่ำลง พระราชาดำรงอยู่ปลายพื้น เพราะทรงรักประชาชนของพระองค์ จึงทรงทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ทรงพร้อมจะเสียสละและหยัดยืน หนักก็ขืนต้านก็รับซับทุกทุกข์
.......................
แต่เพราะว่ามนุษย์คือมนุษย์ อาจบางจุดไม่ทันการณ์พาลขลักขลุก บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงสมัยในแต่ละยุค โลกเร้ารุกรักก็ร้าวหนาวฤดี ยังจำได้วันพฤษภาทมิฬ หัวใจฉันแหว่งวิ่นไม่เหลือที่ อำนาจกับประชาธิปไตยไม่มีดี ปะทะกันครั้งนี้ทมิฬใจ เหมือนสงครามกลางเมืองอยู่ครืนครืน ประชาชนแตกตื่นกันยกใหญ่ เสียงปืนเปรี้ยง เสียงกรีดร้องดังก้องไกล กรีดเลือดในอกหยดรดปฐพี
เรารบกันไม่ใช่เขา เรารบกัน ถึงสี่วันสี่คืนเชียวหรือนี่ ฉันร่ำไห้ใจเต้นไม่เป็นดี อยากหลบลี้ไม่อยากเห็นไม่อยากดู แต่ต้องดูแต่ต้องรู้แต่ต้องรับ นี่บ้านเมืองเราตกอับแสนหดหู่ วันที่ห้าน้ำตาไหลอยู่พร่างพรู และจู่จู่ก็เห็นภาพของพระองค์
.........................
ทรงเหมือนฟ้ามาโปรดประเทศชาติ
ทรงเหมือนฝันที่วาดไว้สูงส่ง
คนนับแสนนับล้านพาลงุนงง
พระองค์ทรงห้ามทัพได้ฉับพลัน
..........................
เพียงให้คนสองคนมาเข้าเฝ้า และทรงตรัสเบาเบายินไหมนั่น เหมือนดังพ่อปรามลูกชายให้รักกัน เหมือนพี่น้องของเรานั้นถูกพ่อปราม
........................
ภาพค่อยเคลื่อนเลื่อนออกอย่างช้าช้า ฉันตะลึงภาพตรงหน้า ด้วยเกรงขาม สองนั้นกราบพระบาทแล้วคลานตาม ช้าแต่งามและสงบจบเรียบร้อย
จะมีเจ้าแผ่นดินใดทำได้เท่า
จะมีเจ้าใดเล่าทำได้บ่อย
หากนับความขัดแย้งมิใช่น้อย
แต่ในร้อยหนึ่งเท่านั้นคือพระองค์
กาลเวลาเคลื่อนผ่านกาลสมัย กาลเวลาผ่านไปคล้ายเลือนหลง กาลเวลาพล่าผลาญจนกาลงง แต่คนหนึ่งยังคงตรงต่องาน ทรงคิดเศรษฐกิจที่พอเพียง เพื่อหลีกเลี่ยงความจน คนเรียกขาน “เกษตรทฤษฎีใหม่”ใจบันดาล ทรงผสานวิถีกับชีวิต พึ่งตนเองเข้าไว้เป็นอย่างแรก ผลิตแทรกเรียบง่ายไม่เร่งผลิต รวมกลุ่มเข้าด้วยกัน
ร่วมฉันมิตร และประสานกลุ่มใกล้ชิดรอบรอบตัว จะแหล่งทุนแหล่งบริหารประสานเถิด ประสานให้ก่อเกิดช่วยกันทั่ว จากท้องถิ่นสู่บ้านผ่านสู่ครัว เริ่มจากผักริมรั้วที่พอดี
สร้างสังคมพอเพียงด้วยเพียงพอ
สร้างความคิดสานต่อทุกถิ่นที่
สร้างหัวใจเรียบง่ายให้ไทยมี
สร้างความรักไมตรีให้ไทยครอง
กาลเวลายิ่งเคลื่อนผ่านวันยิ่งคล้อย พระองค์ยังคงคอยเฝ้าจับจ้อง ประชาชนเป็นอย่างไรทรงไตร่ตรอง ทุกเวลาประคับประคองประเทศไทย แม้สังขารพระวรกายไม่ดังเก่า แต่ความรักยังเร่งเร้าให้แจ่มใส หลายหลายครั้งประชาชาติแทบขาดใจ เป็นห่วงพระทรงชัยพ้นพรรณนา
กาลเวลายิ่งเคลื่อนผ่านวันยิ่งเปลี่ยน สรรพสิ่งหมุนเวียนมาเปลี่ยนหน้า กาลเวลาเคลื่อนผ่านกาลเวลา พระราชายังสถิตในจิตใจ
...................................
ฉันนั่งอยู่ในห้องประชุมหนึ่ง มีเสียงดังอื้ออึงคนเคลื่อนไหว มีเสียงดังเบาเบาอยู่ในไลน์ ฉันก้มลง เห็นไวไว เรียงรายมา ตัวอักษรอะไรหรือคือส่งข่าว ตันในอกปวดร้าวจนแทบบ้า มันเป็นเพียงข่าวร้ายเป็นมายา ฉันหลับตาพลันน้ำตาทะลักทลาย
........................
โลกเคลื่อนไปทีละนิดทีละนิด
แสงมืดมนหม่นมิดหัวใจสลาย
โลกยังหมุนช้าช้าตาพร่าพราย
ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าช้านาน
น้ำตารินตกในหัวใจทะโลด
ฟ้าไม่โปรดดินไม่ปรับรับผสาน
อัดในอกตกในจิตฤทธิ์บันดาล
ข้างในพล่านพลุ่งพลิกระริกระรัว
.............................
ในที่สุดโลกของฉันก็หยุดหมุน น้ำตาคุณน้ำตาใครไหลไปทั่ว แสงสีดำสาดมาจนพร่ามัว สิ่งที่กลัวจะได้ยินก็ได้ยิน
“สวรรคตแล้ว...”
โอ เสียใจเหมือนไฟโหม พุ่งถาโถมมาได้ก็ไหม้สิ้น เหลือเพียงภาพทรงจำน้ำตาริน เหลือเพียงดินสีดำเดินตามรอย
“สวรรคตแล้ว...”
โอ น้ำตา โอ น้ำตา มันหยดมาไหลมาร่วงผล็อยผล็อย จากหนึ่งหยดเป็นล้านหยดน้ำตาน้อย มันไหลลอยเป็นทะเลน้ำตา น้ำตาประชาชน
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ (วันสวรรคต)